วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บรรณานุกรม


บรรณานุกรม
http://thanapat53a25.wikispaces.com          สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิ.ย 2556
http://writer.dek-d.com    สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิ.ย 2556
http://www.thaigoodview.com     สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิ.ย 2556

ภาคผนวก



ภาคผนวก



หน้าที่ของดวงอาทิตย์


หน้าที่ของดวงอาทิตย์
ในชีวิตประจำวัน อาจเปรียบดวงอาทิตย์เสมือน โรงงานไฟฟ้า ที่มีไดนาโมขนาด ยักษ์ คอยปั่นพลังงานออกมาหล่อเลี้ยง ทุกครอบครัวในระบบสุริยะ นับตั้งแต่โลก
ดาวเคราะห์ทุกดวง ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์น้อย วัตถุขนาดเล็ก ชิ้นเล็กๆที่เท่ากับ ผงธุลีโคจรในอวกาศทุกชิ้น กระทั่ง ดาวหาง ซึ่งเดินทางมาจากชายแดนสุดขอบ
สุริยะแถบ Oort Cloud อันไกลโพ้น เข้ามาได้ด้วยล้วนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น
รังสี (Solar radiation) จากพลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งที่น่าพิศวง สามารถทำให้อาหารสุก ตากเสื้อผ้าให้แห้ง จนเป็นพลังขับเคลื่อนสุริยะทั้งระบบ ไม่ว่าเราอยู่ที่ใดของโลกล้วนมี รังสีดวงอาทิตย์เข้าไปมีส่วนระบบพัฒนาสิ่งมีชีวิตเริ่มก่อตัวจากสัตว์เซลล์เดียว ใน
ยุคดึกดำบรรพ์กำเนิดโลกจนเป็นเนื้อเป็นหนัง แม้แต่ หินแร่สสารธรรมชาติ  เป็นต้นทางวัตถุดิบเรานำมาแปรรูปพัฒนาการให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต ก็มีขบวนการทางเคมี อันมีรังสีดวงอาทิตย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ระบบการเติบโตของพืชต้องใช้สังเคราะห์แสง ระบบกลไกสภาพอากาศบนโลกทั้งหมด เกี่ยวพันกันเป็นฤดูกาล เนื่องจากดวงอาทิตย์เช่นกัน นักวิทยาศาสตร์สาขา Astrobiology (ชีววิทยาอวกาศ) ยังติดตามข้อสงสัยที่น่าสนใจในประเด็นว่า อะไรที่เป็นมูลฐานชีวิตบนโลก หรือเป็นชีวิตมาจากที่อื่นและหรือจากการเปลี่ยนแปลงอันยาวนาน สภาพแวดล้อมของอวกาศโลก (Earth’s spaceenvironment) โดยข้อสงสัยมีส่วนพาดพิง ระบบของดวงอาทิตย์ เพราะเป็นพลังงานชนิดเดียวที่สามารถครอบคลุม การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เชื่อมโยงกันได้ทั้งโลก

จุดจบของดวงอาทิตย์ ( ต่อ )


อุณหภูมิ 4000 เคลวิน เมื่อดูจุดมืดหรือจุดดำให้ละเอียด จะพบว่าใจกลางของจุดมืดมีความมืดมากกว่าขอบรอบนอก
ยังไม่ทราบชัดเจนว่าจุดเกิดจากอะไร แต่มีการค้นพบว่าบริเวณจุดเป็นบริเวณที่มีความเข้มของสนามแม่เหล็กสูงมาก สนามแม่เหล็กบริเวณทั่วไปไม่ถึง 1 เกาสส์ แต่บริเวณจุดสูงหลายพันเกาสส์ จุดบนดวงอาทิตย์เกิดขึ้นและหายไปโดยมีอายุประมาณ 1 เดือน จุดมักจะเกิดขึ้นเป็นคู่ ๆ อยู่ใกล้กัน คล้ายมีแม่เหล็กเกือกม้าฝังอยู่ภายในดวงอาทิตย์ จำนวนจุดไม่คงที่ แต่จะเปลี่ยนทุกปี บางปีมีจุดมาก บางปีมีจุดน้อย จำนวนจุดจะมีมากทุก ๆ 11 ปี  มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในบริเวณจุดโดยไม่สามารถทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า การระเบิดจ้า บนดวงอาทิตย์ การระเบิดจ้าเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในระยะเวลาสั้น ๆ การระเบิดจ้า คือการที่พลังงานและอนุภาคของดวงอาทิตย์พุ่งออกจากพื้นผิวสู่อวกาศ พลังงานและอนุภาคส่วนหนึ่งจะมาถึงโลก อนุภาคที่เดินทางมาถึงบรรยากาศโลกคือโปรตอนและอิเล็กตรอน ซึ่งจะมาทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของก๊าซในบรรยากาศ เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ ทั้งนี้เพราะสนามแม่เหล็กโลกจะป้องกันไม่ให้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเข้าสู่พื้นผิวโลกแถบเส้นศูนย์สูตรแต่จะเข้าสู่บรรยากาศชั้นต่ำ ๆ ได้ง่ายทางขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
ผลกระทบอย่างที่สองที่การระเบิดจ้ามีอิทธิพลต่อโลกคือการสื่อสารโดยวิทยุคลื่นสั้นและการเดินของกระแสไฟฟ้าถูกรบกวน ทั้งนี้เพราะอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดพายุแม่เหล็กบนโลก การสะท้อนคลื่นวิทยุของบรรยากาศและการเดินของกระแสไฟฟ้าจึงไม่สม่ำเสมอ ผลกระทบประการที่สามที่การระเบิดจ้ามีอิทธิพลต่อโลกคือ พลังงานจากการระเบิดจ้าแผ่มาถึงบรรยากาศชั้นบนโลก ทำให้อากาศขยายตัวลอยสูงขึ้นไปอีก อาจขึ้นไปสูงถึงระดับ 400-500 กิโลเมตรเหนือผิวโลกซึ่งเป็นระดับที่สถานีอวกาศหรือยานอวกาศขนาดใหญ่โคจรอยู่รอบโลก โมเลกุลของอากาศเหล่านี้จะปะทะการเคลื่อนที่ของสถานีอวกาศหรือยานอวกาศเป็นผลให้สถานีอวกาศเคลื่อนที่ช้าลง ผลที่ตามมาคือสถานีอวกาศเข้าใกล้โลกมากขึ้น หากไม่ช่วยให้ยานอวกาศมีความเร็วเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับความสูงแล้วสถานีอวกาศก็จะตกลงสู่โลกเร็วก่อนกำหนด อย่างเช่น สกาย แล็บที่เคยตกมาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2516

จุดจบของดวงอาทิตย์


จุดจบของดวงอาทิตย์
จุดจบของดาวฤกษ์ที่มวลมาก คือการระเบิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา (supernova) แรงโน้มถ่วง จะทำให้ดาวยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ ในขณะเดียวกันก็มีแรงสะท้อนที่ทำให้ส่วนภายนอกของดาวระเบิดเกิดธาตุหนักต่างๆ เช่น ยูเรนียม ทองคำ ฯลฯ ซึ่งถูกสาด กระจายออกสู่อวกาศกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่ และเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์รุ่นต่อไป เช่นระบบสุริยะก็เกิดจากเนบิวลารุ่นหลัง ดวงอาทิตย์และบริวารจึงมีธาตุต่างๆทุกชนิด เป็นองค์ประกอบ ดังนั้น เนบิวลา ดาวฤกษ์ การระเบิดของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ โลกของเรา สารต่างๆและชีวิตบนโลก จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
              ดวงอาทิตย์มีแสงจ้ามาก ทั้งนี้เพราะมีอุณหภูมิสูง ภายในใจกลางซึ่งเป็นต้นกำเนิดพลังงานมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ทำให้ไฮโดรเจน 2 อะตอมรวมกันกลายเป็น 1 อะตอมของฮีเลียม เรียกว่าปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ เนื้อสารของ 1 อะตอมฮีเลียมน้อยกว่าเนื้อสารของ 2 อะตอมไฮโดรเจน เนื้อสารไฮโดรเจนไม่ได้หายไปไหน แต่ได้กลายเป็นพลังงานทั้งหมด   ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ที่ไฮโดรเจนหลอมรวมกันกลายเป็นฮีเลียมคือปฏิกิริยาของระเบิดไฮโดรเจน ดังนั้นภายในใจกลางดวงอาทิตย์ จึงมีระเบิดไฮโดรเจนจำนวนมากกำลังระเบิด พลังงานภายในถ่ายทอดสู่ผิวโดยการพา และดวงอาทิตย์ถ่ายทอดพลังงานสู่อวกาศโดยการแผ่รังสี   มนุษย์พยายามสร้างพลังงานโดยการเลียนแบบปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ในดวงอาทิตย์จนประสบผลสำเร็จ หากควบคุมพลังงานนี้ได้เมื่อใดก็จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติ    เมื่อสังเกตพื้นผิวดวงอาทิตย์จากภาพถ่ายผ่านกล้องโทรทรรศน์หรือดูภาพดวงอาทิตย์บนฉากของกล้องโทรทรรศน์ จะพบว่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ไม่สม่ำเสมอ แต่มีบริเวณมืดเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ เราเรียกบริเวณมืดเหล่านี้ว่า จุดดำ หรือ จุดมืด บนดวงอาทิตย์ (Sunspot) จุดดำเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณข้างเคียงซึ่งมีอุณหภูมิสูงประมาณ 6000 เคลวิน ในขณะที่บริเวณจุดดำมี

การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์


การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์
ตามการศึกษาแบบจำลองคอมพิวเตอร์ว่าด้วยวัฎจักรดาวฤกษ์ นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าดวงอาทิตย์มีอายุประมาณ 4,570 ล้านปีในขณะนี้ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในลำดับหลัก ทำการหลอมไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม โดยทุกๆ วินาที มวลสารของดวงอาทิตย์มากกว่า 4 ล้านตันถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดวงอาทิตย์ใช้เวลาโดยประมาณ 1 หมื่นล้านปีในการดำรงอยู่ในลำดับหลักเมื่อไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของดวงอาทิตย์หมดลง วาระสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็มาถึง (คือการพ้นไปจากลำดับหลัก) โดยดวงอาทิตย์จะเริ่มพบกับจุดจบคือการแปรเปลี่ยนไปเป็นดาวยักษ์แดงภายใน 4-5 พันล้านปี ผิวนอกของดวงอาทิตย์ขยายตัวออกไป ส่วนแกนนั้นยุบตัวลงและร้อนขึ้นสลับกับเย็นลง มีการหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนและออกซิเจนที่อุณหภูมิราว 100 ล้านเคลวิน จากสถานการณ์ข้างต้นดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะกลืนกินโลกให้หลอมลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน แต่จากรายงานวิจัยฉบับหนึ่งได้ศึกษาพบว่าวงโคจรของโลกจะตีตัวออกห่างดวงอาทิตย์เพราะมวลของดวงอาทิตย์ได้สูญเสียไป จนแรงดึงดูระหว่างมวลมีค่าลดลง แต่ถึงกระนั้น น้ำทะเลก็ถูกความร้อนจากดวงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยสิ้นไปในอวกาศ และบรรยากาศโลกก็อันตรธานไปจนไม่เอื้อแก่ชีวิตต่อมาได้มีการค้นพบ ว่าดวงอาทิตย์นั้นจะสว่างขึ้น 10 เปอร์เซนต์ ทุกๆ 1000ล้านปี ถึงตอนนั้นโลกก็ไม่อาจจะเอื้อ ต่อสิ่งมีชีวิตไปก่อนแล้ว เวลาของสิ่งมีชีวิตบนโลก จึงเหลือแค่ 500ล้านปีเท่านั้น
ภาพดวงอาทิตย์ในช่วงคลื่นต่างๆ  เรียงจากความยาวคลื่นที่สั้นที่สุด(X-ray) ไปยังความยาวคลื่นที่ยาวที่สุด (ช่วงสีส้ม) ตัวเลขในวงเล็บคือ ความยาวคลื่น ของแสงที่ใช้ถ่ายภาพในหน่วยนาโนเมตร ในแต่ละช่วงคลื่น ภาพของดวงอาทิตย์จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป นักดาราศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลดวงอาทิตย์ในหลายช่วงคลื่นเพื่อเข้าใจในธรรมชาติของดวงอาทิตย์(ภาพช่วงคลื่นX-ray จากดาวเทียม Yohkoh ของประเทศญี่ปุ่น และภาพในช่วงคลื่นอื่นๆ จากดาวเทียมสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ และสุริยะสัณฐาน (SOHO) ขององค์การณ์อวกาศยุโรป และองค์การณ์นาซา)



องค์ประกอบของดวงอาทิตย์


องค์ประกอบของดวงอาทิตย์
ส่วนประกอบของดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มแก๊ซขนาดใหญ่ เนื่องจากมวลของแก๊ซมีขนาดมหาศาล ทำให้มีความดันที่แกนกลางสูง มาก ทำให้สามารถเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบรวมตัว (นิวเคลียร์ฟิวชัน)  ได้อย่างต่อเนื่อง พลังงานที่ได้ทำให้บริเวณแกนกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิกว่า ๑๕ ล้านเคลวิน พลังงานความร้อนที่ได้ทำให้เกิดกระบวนการต่อเนื่องต่าง ๆ มากมาย โดยส่วนใหญ่จะถูกดูดกลืน โดยแก๊ซในดวงอาทิตย์เอง ส่งผลให้ บริเวณผิวนอกของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิเหลือเพียงประมาณ ๖๐๐๐ เคลวิน และทำให้แสงแดด มีการกระจายความเข้มใกล้เคียงกับการแผ่รังสีของวัตถุดำที่  ๖๐๐๐ เคลวินนั่นเอง
              ดวงอาทิตย์มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ส่วนแก่น (core) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน ถัดออกมารวมเรียกว่า ชั้นแผ่รังสี (radiative zone) เนื่องจากเป็นส่วนที่รับและดูดกลืนรังสีอันเนื่องมาจากพลังงานที่ผลิตได้  ชั้นนอก เรียกว่าชั้นพาความร้อน (convective zone)    ซึ่งเป็นชั้นที่อนุภาคซึ่งได้รับพลังงานความร้อน จากชั้นแผ่รังสีมีการเคลื่อนที่ ถ่ายเทพลังงานให้กันและกัน ทำให้มีการพาพลังงานออกมาสู่ผิวชั้นนอกได้  บริเวณที่เป็นเปลือกและมีลักษณะส่องสว่าง    เรียกว่า     โฟโตสเฟียร์     (photosphere)  นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์อื่น ๆ ซึ่งส่งผลต่อการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ เช่น การปะทุ (flare) และโคโรนา (corona) เป็นต้น